คิดจากต้นทุนของสินค้า ( Markup on Cost)
ในการตั้งราคาโดยคำนึงถึงต้นทุนนี้ สามารถพิจารณา
การตั้งราคาได้ 2 อย่าง คือ การตั้งราคาโดยบวกจากต้นทุนรวมและการตั้งราคาโดยบวกต้นทุนผันแปร
ดังนี้ 1. 1 การตั้งราคาโดยบวกจากต้นทุนรวม ตัวอย่าง บริษัทผลิตสินค้าชนิดหนึ่งมีต้นทุนรวม
200 บาท ต่อหน่วย
ผู้ผลิตต้องการส่วนบวกเพิ่ม 15%
จากต้นทุนสินค้า ดังนั้น
ราคาขายสินค้าจะเป็น 230 บาท
คำนวณ
ราคาขายสินค้าต่อหน่วย
= ต้นทุนสินค้ารวมต่อหน่วย + ส่วนบวกเพิ่มที่ต้องการ
ตัวอย่าง
บริษัทมีต้นทุนผันแปรในการผลิต 50 บาทต่อหน่วย
ต้นทุนผันแปรจากการขาย 10 บาท และได้กำหนดอัตราส่วนบวกเพิ่มจากต้นทุนผันแปร 20% บริษัทควรตั้งราคา สินค้าเท่าใด
2. คิดจากราคาขายสินค้า ( Markup on Selling Price)
ตัวอย่าง บริษัทมีต้นทุนที่ซื้อสินค้ามาเพื่อขาย 45
บาทต่อหน่วย ถ้าต้องการส่วนบวกเพิ่ม 10% ของราคาขาย
จะต้องกำหนดราคาขายเท่าใด
ราคาขาย = ต้นทุนสินค้าที่ขาย
+ ส่วนบวกเพิ่มที่ต้องการ
100% = ต้นทุนสินค้าที่ขาย + 10%
ต้นทุนสินค้าที่ขาย
= 100 –10 = 90%
จากโจทย์ ต้นทุนสินค้าที่ขาย 45
บาท = 90% ของราคาขาย
90% ซึ่งเท่ากับ 45 บาท
3.
Writer -หลักการกำหนดราคา
- ฝึกแต่งประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ภาษาอังกฤษ เอา Verb to Do - Do, Does, ช่วย เข้าใจง่ายสุดๆ | แค่ ยิ้ม ภาษา อังกฤษเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่สมบูรณ์ที่สุด
- การ กำหนด ราคา 2564
- การ กำหนด ราคา ตารางผ่อน
- การ กำหนด ราคา iphone
- การกำหนดราคาศุลกากร
- บอน ไซ ทับทิม
- วิธี การ ประหยัด
- ท ปอ tcas รอบ 3 ani
- การ กำหนด ราคา bitcoin
- Must ตัวอย่าง ประโยค
- เปรียบเทียบBYREDO Super Cedar Eau De Parfum ขนาด 1 – 5 ml. แบ่งขายน้ำหอมแบรนด์แท้ สินค้าเคาน์เตอร์ไทย | Thai garnish
- โรงแรม เรือน ริม น้ำ
3 วิธีกำหนดราคาเพื่อให้ได้ผลตอยแทนตามเป้าหมาย (Target Pricing) เป็นการกำหนดราคาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI) โดยต้องการกำไรเป็นร้อยล่ะเท่าใดของเงินลงทุน (Target Profit) เข้าไปในต้นทุนของสินค้าหรือเงินลงทุน โดยใช้สมการดังนี้ ราคา = ต้นทุนต่อหน่วย + อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ * เงินลงทุน จำนวนสินค้าที่ขาย 2. การกำหนดราคาจากอุปสงค์ (Demand Based Pricing) เป็นการกำหนดราคาโดยคำนึงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเรียกว่า ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand) ดังตัวอย่างรูปภ่าพ แผนภูมิแสดง ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา
วันพฤหัสบดีที่ 05 มีนาคม 2015 เวลา 20:40 น.
36
ราคาสุดท้าย
หลังจากที่พิจารณาทุกปัจจัยแล้ว Tania ตัดสินใจที่กำหนดราคาสินค้าของเธอดังต่อไปนี้:
ไม้กลองฮิคกอรี่ 5 คู่แรกราคา $5
ไม้กลองฮัคกอรี่ 5 คู่ที่เหลือราคา $7
ไม้กลองเมเปิ้ล 20 คู่ราคา $12. 36
ไม้กลองโอ๊ก 5 คู่ราคา $12.
Bitcoin
50 ต่อคู่ - $87. 50
ไม้กลองเมเปิ้ล 20 คู่ราคา $4. 00 ต่อคู่ - $80. 00
ไม้กลองโอ๊ก 5 คู่ราคา $4. 50 ต่อคู่ - $22. 50
ซึ่งจะทำให้เธอมีต้นทุนผันแปรรวม $190 เมื่อรวมกับต้นทุนคงที่ $84 เธอคาดว่าจะมีต้นทุนรวม $274
ข้อมูลกำไรแยกย่อย
เนื่องจาก Tania ต้องการที่จะทำกำไร $200 ในเดือนนี้และคาดว่าต้นทุนรวมจะอยู่ที่ $274 สำหรับเดือนนี้ เธอจึงต้องมีรายได้ $474 ในเดือนนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Tania คาดว่าจะทำยอดขายได้ 50 คู่ ซึ่งหมายความว่าเธอต้องขายไม้กลองในราคาเฉลี่ยที่ $9. 48 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ $474 Tania ต้องการให้ไม้กลองฮิคกอรี่มีราคาถูกเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เธอจึงต้องการขายที่ราคา $7 ซึ่งหมายความว่าต้นทุนต่อไม้กลองหนึ่งคู่อีก $2. 48 ที่เหลือจะต้องนำไปเพิ่มในราคาไม้กลองเมเปิ้ลและโอ๊ก หากเธอขายไม้กลองฮิคกอรี่ที่ $7 และขายได้ 25 คู่ เธอจะมีรายได้ $175 จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ $474 และต้องการอีก $299 เพื่อให้มีรายได้ $299 จากคำสั่งซื้ออีก 25 รายการที่เหลือ เธอต้องกำหนดราคาไม้กลองเมเปิ้ลและไม้กลองโอ๊กที่ $11. 96
ข้อควรพิจารณาทางการตลาด
ส่วนหนึ่งของแคมเปญทางการตลาดของ Tania คือการเสนอขายไม้กลองฮิคกอรี่ในราคา $5 ให้แก่ 5 คนแรกที่ซื้อสินค้า ตามการกำหนดราคาและกำไรในปัจจุบัน กำไรของเธอจะลดลง $10 ในการจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น Tania จะต้องต้องชดเชย $10 นี้จากคำสั่งซื้อที่เหลือ แต่เธอไม่ต้องการเพิ่มราคาไม้กลองฮิคกอรี่ Tania ต้องทำการรายได้เพิ่มเติมอีก $10 จากคำสั่งซื้อไม้กลองที่เหลือ 25 รายการ ซึ่งส่งผลให้ต้องเพิ่มราคาไม้กลองแต่ละคู่ 40 เซ็นต์เป็นราคา $12.
ในตลาดมีการแข่งขนั นอ้ ย ผผู้ ลิตมีอาํ นาจในการกาํ หนดราคาสินคา้ สูง ทาํ ใหเ้ กิดการผกู ขาด ราคาสินคา้ แพงกวา่ ความเป็นจริง 2. ในภาวะตลาดท่ีมีการแข่งขนั สูง ผผู้ ลิตไม่สามารถกาํ หนดราคาสินคา้ ของตนใหส้ ูงกวา่ ผอู้ ื่น ได้ ส่งผลใหไ้ ดก้ าํ ไรนอ้ ย 3. ผผู้ ลิตท่ีขาดความเชี่ยวชาญดา้ นธุรกิจอาจตอ้ งขาดทุนจากการกาํ หนดราคาท่ีไม่สอดคลอ้ งกบั ภาวะตลาด บทบาทของรัฐในการดาํ เนินการทางเศรษฐกจิ • เบศทรบษาฐทกใจิ นการให้การส่งเสริม 1. การสร้างถนนเพอื่ การคมนาคมขนส่ง 2. การสร้างสนามบินท่ีทนั สมยั 3. การสร้างระบบไฟฟ้า ประปาอยา่ ทวั่ ถึง 4. การพฒั นาระบบส่ือสารท่ีมีความ สะดวกรวดเร็ว 5. การออกกฎหมาย ระเบียบ ท่ีส่งเสริม การคา้ และการลงทุน • บทบาทในการจัดการและการควบคุม 1. การประกนั และพยงุ ราคาสินคา้ เกษตร 2. การควบคุมราคาสินคา้ อุปโภคบริโภค ไม่ใหส้ ูงเกินจริง 3. การอุดหนุนปัจจยั การผลิตเพอื่ ลด ตน้ ทุนการผลิตสินคา้ 4. การเขา้ ควบคุมการผลิตสินคา้ เพอ่ื ให้ เพยี งพอต่อความตอ้ งการของประชาชน กลไกในการกาํ หนดอตั ราค่าจ้างแรงงาน กลไกสําคัญในการกาํ หนดค่าจ้าง คือ อปุ สงค์ต่อแรงงาน และอุปทานของแรงงาน กราฟ แสดงการกาํ หนดคา่ จางแรงงานอปุ สงค์ และอปุ ทานของแรงงาน พ.
3 วิธีกำหนดราคาเพื่อให้ได้ผลตอยแทนตามเป้าหมาย (Target Pricing) เป็นการกำหนดราคาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI) โดยต้องการกำไรเป็นร้อยล่ะเท่าใดของเงินลงทุน (Target Profit) เข้าไปในต้นทุนของสินค้าหรือเงินลงทุน โดยใช้สมการดังนี้ ราคา = ต้นทุนต่อหน่วย + อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ * เงินลงทุน จำนวนสินค้าที่ขาย 2. การกำหนดราคาจากอุปสงค์ (Demand Based Pricing) เป็นการกำหนดราคาโดยคำนึงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเรียกว่า ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand) ดังตัวอย่างรูปภ่าพ
แผนภูมิแสดง ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา